Monday, August 15, 2011

คอลัมน์ : ปริทัศน์ : วงจรน้ำเน่าของนักการเมืองไทย

วงจรน้ำเน่าของนักการเมืองไทย
พรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งจากประชาชน ได้เป็นผู้จัดรัฐบาลโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ในวงการเมืองไม่มีใครคาดคิดมาก่อน เคยตั้งความหวังไว้ว่า ในการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ นักการเมืองไทยน่าจะเปลี่ยนทัศนคติเก่าๆ เพราะได้รับบทเรียนที่เจ็บปวดมาพอสมควร ควรจะคิดได้ว่า ทำไม? ประชาชนจึงเทคะแนนให้พรรคเพื่อไทย และในทางกลับกันก็ควรจะทำงานตอบสนองความต้องการของประชาชนในเรื่องที่เขาต้องการ?


หลักการเลือกตั้งใหม่ๆ ก็หลงดีใจว่า การวิ่งเต้นเพื่อตำแหน่งรัฐมนตรีคงจะมีไม่มากนัก นึกชมเชยนักการเมืองทั้งหลายที่ดำเนินการเงียบๆ ไม่เป็นข่าวอื้อฉาวในสื่อมวลชน! ไม่ทะเลาะกันเหมือนอย่างที่เคยเป็น แต่เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่หวัง เพราะยิ่งใกล้วันที่กำหนดเสนอชื่อเพื่อกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ก็เริ่มเป็นข่าวในสื่อมวลชนทุกวัน?

ทำไม? นักการเมืองจึงคิดว่าการทำหน้าที่รัฐมนตรีเป็นงานง่ายๆ จึงกล้าพูดเหมือนกับว่าใครๆ ก็เป็นได้ คิดอย่างนี้นี่เองที่ทำให้ประเทศไทยไม่ค่อยก้าวหน้า!

รัฐมนตรี (หรือเสนาบดีในสมัยก่อน) ต้องคอยดูแล และเอาใจใส่ต่อทุกข์สุขของประชาชนในขอบเขตซึ่งเป็นภาระหน้าที่ของตน และต้องรับผิดชอบร่วมกันทั้งคณะในเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่และมีความสำคัญต่อผู้ที่ดำรงตำแหน่ง เพราะฉะนั้นใครที่จะมาเป็นรัฐมนตรีต้องมีความรู้ ความสามารถ วุฒิภาวะและประสบการณ์ในการทำงานมาพอสมควร โดยเฉพาะการบริหารจัดการ?

ไม่ใช่ใครก็มาเป็นได้ เพราะประเทศไม่ใช่หนูทดลอง!

สังคมไทยถูกระบบอุปถัมภ์ครอบอยู่ จึงไม่แปลกใจที่มีนักการเมืองผู้ที่อยากได้ตำแหน่งรัฐมนตรี บินไปพบอดีตนายกฯ ทักษิณมากมาย สื่อมวลชนน่าจะเอารายชื่อคนเหล่านั้นมาประกาศให้ประชาชนทราบ ผมได้แสดงความเห็นไว้ในคอลัมน์นี้แล้วว่า ถ้าอดีตนายกฯ ทักษิณ อยากจะฆ่าน้องสาวทางอ้อมก็ตามใจ!

การปรึกษาหารือกันในหมู่ญาติหรือผู้ร่วมงานเป็นเรื่องธรรมดา แต่การตัดสินใจต้องเป็นระบบ และชี้แจงแสดงเหตุผลให้สังคมเข้าใจได้? แต่นักการเมืองไทยเกือบทั้งหมดขาดสติและระงับกิเลสตัวเองไม่ได้จึงมีการแสดงออก ทำให้กลายเป็นเหยื่อของสื่อมวลชนไป! บางครั้งเป็นผลกระทบกับพรรคของตนเอง เพราะไม่คิดให้รอบคอบเสียก่อน!
     
กรอบและแนวคิดของนักการเมืองไทยอยู่ในลักษณะเพื่อตัวเองและกลุ่มเท่านั้น ไม่เคยคิดถึงประชาชนและประเทศเลย เช่นนักการเมืองอาวุโสมักคิดว่าตำแหน่งรัฐมนตรีเป็นของตนหรือวงศาคณาญาติเท่านั้น ถ้าตัวเองเป็นไม่ได้ก็ต้องให้คนในครอบครัวหรือญาติสนิทมาเป็นแทน เมื่อ 20 ปีก่อนยังมีการพิจารณาถึงความรู้ความสามารถอยู่บ้าง แต่ปัจจุบันไม่สนใจว่ามีความรู้ความสามารถหรือไม่ ฉันจะให้เป็นซะอย่าง ใคร? จะทำไม!
     
ในคณะรัฐมนตรีชุดนี้ก็มีอยู่!
     
การอ้างถึงโควตาก็เป็นแนวคิดที่ประหลาด บางพวกก็อ้างภาคหรือเขตจังหวัด ลืมนึกไปว่าถ้าคิดอย่างนั้นก็ไม่มีรัฐมนตรีที่มาจากภาคใต้เลย ไม่ว่าจะเก่งหรือมีความสามารถแค่ไหน? การเป็นรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบทั้งประเทศ! มีความจำเป็นที่จะต้องพิจารณาในเรื่องคุณสมบัติของผู้นั้นอย่างละเอียดรอบคอบ?
     
ขอให้พิจารณาตัวรัฐมนตรีในอดีตที่มีภูมิหลังมาจากระบบโควตาว่า ทำให้ประเทศและประชาชนล้าหลังเพียงใด นอกจากทำงานไม่ได้เรื่องแล้ว ยังมีข่าวในเรื่องการแสวงหาผลประโยชน์ เพื่อตนเองและกลุ่มในทุกรัฐบาล!
     
ถ้ามีการสอบสวนและเอาเรื่องอย่างจริงจังจะตกตะลึงกันทั้งประเทศ!
     
ที่น่าเกลียดมากก็คือคนเหล่านี้ ไม่อายที่จะแสดงออกในการแย่งชิงตำแหน่งกัน!
     
มีอีกประเภทหนึ่งที่มีความใกล้ชิดกับคนที่มีอำนาจในพรรค โดยเฉพาะอดีตนายกฯ ทักษิณ ใช้ความสนิทสนมหรือบุญคุณที่มีต่อกันต่อรองตำแหน่งรัฐมนตรี ทำให้รายชื่อของคณะรัฐมนตรีชุดนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน จนกระทั่งสื่อมวลชนประจำวันที่ 9 ส.ค. ประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีครบถ้วนทุกตำแหน่ง!
     
ทั้งผู้ให้ข่าวและสื่อมวลชนควรจะทราบว่า ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะเปิดเผยรายชื่อคณะรัฐมนตรีก่อนมีพระบรมราชโองการ!
     
เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่มีความสมหวังที่ได้รับตำแหน่ง และผิดหวังเมื่อไม่ได้รับตำแหน่ง เพียงแต่ว่าจะออกมาในรูปใด จะเป็นบวกหรือลบต่อพรรคเพื่อไทย ก็ต้องหาทางแก้ไขกันไป ประเด็นสำคัญขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งไม่พ้นสิ้นปีนี้ก็พิสูจน์ได้ว่า รัฐบาลชุดนี้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนหรือเปล่า?
     
มีการเรียกร้องจากคนเสื้อแดงว่าควรได้รับการตอบแทนให้เป็นรัฐมนตรีด้วย ผมได้แสดงความคิดเห็นไปหลายครั้งต่อสื่อประเภทต่างๆ สรุปว่าไม่ควรเป็นรัฐมนตรีด้วยเหตุผลหลายประการ ซึ่งเชื่อว่าทั้งพรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงน่าจะพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบต่อสภาพแวดล้อมทางการเมืองไทยปัจจุบัน!
     
เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทยจะต้องตัดสินใจกันเอง!
     
สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือแนวคิดหรือวงจรความคิดของนักการเมืองไทย ได้แก่ความเห็นแก่ตัว ที่แย่มากๆ ก็คือคิดว่าประเทศไทยเป็นของพวกเขาเท่านั้น ประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยไม่เกี่ยว! ไม่สนใจว่าประชาชนไทยจะคิดอย่างไร? ขอให้ตัวนั้นสมหวังกับตำแหน่งรัฐมนตรีก็พอ!
     
ยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าประเทศไทยมีปัญหาอะไร? บ้างที่ต้องรีบแก้ไข และวิธีการในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้นต้องทำอย่างไร?
     
ประเทศไทยประกาศไปทั่วโลกว่าเป็นประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่ เพียงแต่ไทยอยู่ในคราบของประชาธิปไตยเท่านั้น! พฤติกรรมที่ปฏิบัติอยู่ในสังคมยิ่งแสดงให้ต่างชาติเห็นความไม่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น เราชอบลอกเลียนแบบประเทศตะวันตกมาใช้ โดยไม่ได้พิจารณาว่าเหมาะสมกับประเทศไทยหรือไม่?
     
รัฐธรรมนูญ 2540 อนุญาตให้ ส.ส.เป็นรัฐมนตรีได้ แต่ต้องพ้นจากความเป็น ส.ส. (รธน.2511 ห้าม ส.ส.เป็นรัฐมนตรี) เมื่อมีรัฐธรรมนูญ 2550 ขึ้นมาก็อนุญาตให้ ส.ส.เป็นรัฐมนตรีได้ แต่ห้ามออกเสียงลงคะแนนในเรื่องที่เกี่ยวกับการดำรงตำแหน่ง การปฏิบัติหน้าที่หรือการมีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนั้น
     
ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่าหน้าที่สำคัญของ ส.ส. คือการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าจะเอา ส.ส.ไปเป็นรัฐมนตรีก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบตัวเอง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง คนเขียนรัฐธรรมนูญนั่นแหละขาดความเข้าใจในระบบการเมือง ซึ่งในระบอบประธานาธิบดีเขาแยกไว้ชัดเจนระหว่างฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติ ซึ่งเราก็เอามาใช้ในรัฐบาลท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็น กทม. อบจ. เทศบาล และ อบต. (รวมพัทยาด้วย)

การเมืองไทยจึงมั่วกันทั้งประเทศ เพราะประชาชนไม่สามารถพึ่งสภาได้ ไงๆ ที่เป็นผู้เลือกมาเป็นตัวแทนของตนเอง! การทำหน้าที่ในแต่ละส่วนจึงบกพร่องตลอดมา นักการเมืองไทยจึงยึดเป็นอาชีพ เพราะทำให้ร่ำรวยอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่มีใครทักท้วง?
     
เป็นความจริงที่พิสูจน์ได้เสมอว่า อาชีพนักการเมืองเป็นอาชีพที่ร่ำรวยได้เร็วที่สุด!
     
คงจะเลิกแปลกใจกันในเรื่องที่ว่าทำไม? จึงแย่งกันเป็นรัฐมนตรี!
     
ในที่สุดก็มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีของยิ่งลักษณ์ 1 หน้าตาเป็นอย่างไรก็พิจารณากันไป ส่วนจะมีปัญหาภายในหรือไม่ก็อยู่ที่ความคิดของบุคคล จะเป็นข่าวในสื่อมวลชนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสปิริตทางการเมือง?
     
เป็นที่ทราบกันดีในหมู่นักการเมืองว่า สภาพแวดล้อมทางการเมืองของไทยเป็นอย่างไร? แต่คนเหล่านี้มักมองข้ามไปเมื่อเห็นประโยชน์ที่จะได้รับอยู่ตรงหน้า! ครม.ชุดนี้ไม่มีอะไร? เด่นเป็นพิเศษ ซ้ำร้ายยังผิดฝาผิดตัวอยู่หลายกระทรวง!
     
นายกรัฐมนตรีก็คงจะต้องเหนื่อยหน่อยในการบริหารประเทศ เพราะนอกจากจะต้องปฏิบัติตามนโยบายที่หาเสียงไว้แล้ว ยังต้องแก้ปัญหาของประเทศไทยที่หมักหมมมานาน จนเชื่อได้ว่าปัญหาใหญ่ของประเทศอาจถูกชะลอไว้ด้วยการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เหมือนกับทุกรัฐบาลที่ผ่านมา!
     
ขอภาวนาให้นักการเมืองทั้งหลายที่มีอำนาจอยู่ได้เปลี่ยนความคิดในการบริหารประเทศเสียใหม่ จากการหาประโยชน์เพื่อตัวเองและพรรคพวก ไปเป็นการสร้างความอยู่ดีกินดีหรือสร้างความสุขให้ประชาชน สมกับที่ประชาชนส่วนใหญ่ได้ลงคะแนนเลือกพวกคุณเข้ามา? การทำให้ประชาชนผิดหวังเป็นสิ่งที่นักการเมืองต้องระวัง
     
อย่าลืมว่านายกฯ ยิ่งลักษณ์ ได้พูดเสมอว่า ครม.ชุดนี้อาจจะหน้าตาไม่ดีนัก ขอให้พิสูจน์กันที่ผลงาน!
     
อีกไม่นานก็คงทราบว่าจริงไหม?

รศ.อัษฎางค์ ปาณิกบุตร

Related Posts by Categories



You want it? Click here | Yul Jet

No comments:

Post a Comment